จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้เชิงรุกมีลักษณะสำคัญในการจัดกิจกรรมที่แตกต่างไปจากการสอนแบบดั้งเดิมตามหลักการศึกษาปัจจุบันการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะอยู่ภายใต้สมมติฐานว่าผู้เรียนมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
โดยผู้เรียนจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ (receive)
ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ (co-creators)
ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ที่แตกฉานลึกซึ้ง
และสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้ (retention of learning) ได้นานกว่า ทั้งนี้จากข้อมูลงานวิจัยแห่งสถาบัน National
Training Laboratories of Bethel ในมลรัฐเมน (Maine) สหรัฐอเมริกา
ได้ค้นพบว่าการวัดความสามารถของผู้เรียนในการจำข้อมูลภายหลังการเรียนรู้ 24 ชั่วโมง (retention rate) ขึ้นกับวิธีการเรียนรู้โดยที่ผลงานวิจัยได้นำเสนอรูปปิรามิดการเรียนรู้
(Learning pyramid)
จากปิรามิดการเรียนรู้แสดงให้เห็นว่า
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ต่างกันจะทำให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต่างกัน
กล่าวคือผู้เรียนที่เรียนรู้จากการบรรยายสามารถจดจำข้อมูลได้ต่ำสุดเพียง 5%
เพราะการฟังบรรยายนั้นผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้น้อยกว่าวิธีการอ่าน
การได้ฟัง ได้ยินผ่านสื่อโสตทัศนูปกรณ์ และการได้เห็นตัวอย่างจากการสาธิต
ซึ่งการเรียนรู้ในกลุ่มนี้เป็นการเรียนรู้ในรูปแบบเดิม (traditional
passive) หรือเรียกว่าวิธี outside – in learning เป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจากคนอื่นแล้วนำมาถ่ายทอดให้ผู้เรียนเป็นผู้รับมากกว่า
ในทางตรงข้ามหากผู้เรียนได้มีการอภิปรายในกลุ่มย่อย การฝึกปฏิบัติ
และได้ถ่ายทอดสิ่งที่ทำได้ให้ผู้อื่น เป็น การสะท้อนออกมาด้วยการปฏิบัติ
เป็นการเรียนแบบเข้าใจจากข้างในตนเองก่อนแล้วจึงถ่ายทอดให้คนอื่นได้ เรียกว่าวิธี inside
– out learning ซึ่งผู้เรียนจะสามารถจดจำได้สูงสุด 90% การจดจำข้อมูลในลักษณะนี้จะเป็นความจำระยะยาว (long term memory) นับเป็นสมรรถนะการเรียนรู้ขั้นสูงสุด Edgar Dale ศาสตราจารย์ทางการศึกษามหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ
ได้พัฒนารูปแบบกรวยของการเรียนรู้ (Cone of Learning) ขึ้นในปี
พ.ศ. 1946 และหลังจากนั้นก็มีการศึกษาวิจัยทั้งในวงการศึกษาและอุตสาหกรรมเพื่อค้นหากระบวนการเรียนรู้ที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ
จากการศึกษาพบว่ากระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (active learning)
ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มาก
และนานกว่ากระบวนการเรียนรู้เชิงรับ (passive learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำโดยสามารถเก็บและจดจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
อาจารย์ผู้สอน สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง
จะสามารถเก็บจำในระบบความจำระยะยาว (long term memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ยังคงอยู่ในปริมาณที่มากกว่าระยะยาว
กล่าวโดยสรุป
การเรียนรู้เชิงรุกเป็นสภาพการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดในระดับสูง (higher-order
thinking) ไม่เพียงแต่ฟัง แต่ผู้เรียนจะต้องอ่าน เขียน ถามคำถาม อภิปรายร่วมกัน
และลงมือปฏิบัติจริง ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความรู้เดิม
และความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญโดยมีกิจกรรมพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้เชิงรุก
คือ การพูด-การฟัง(talking and listening) การเขียน (writing) การอ่าน (reading) และการสะท้อนคิด
(reflection)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น