Sutherland
& Bonwell (1996) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง
การเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน และมีการควบคุมตัวเอง อยู่ในระดับสูง
ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยลักษณะของกิจกรรมจะครอบคลุม
กระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งอาจจัดกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มเล็กๆ
ลักษณะการสอนตรงกันข้ามกับการสอนแบบบรรยาย และประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่กระตุ้น
จูงใจผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนเกิด ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร
เกิดความรู้สึกสนุกสนานขณะเรียน เกิดทัศนคติทางบวกในการเรียน เพิ่มขึ้น
และเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีกิจกรรมร่วมกันในลักษณะของการร่วม
แรงร่วมใจ ได้ทํางานเป็นกลุ่ม โดยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
และนักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน
บุหงา
วัฒนะ (2546) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง
กระบวนการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการ
ร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกัน ในการนี้ ผู้สอนต้องลดบทบาทในการสอน
และการให้ข้อความรู้แก่ ผู้เรียนโดยตรง
แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทําให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะ
ทํากิจกรรมต่างๆ มากขึ้นอย่างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการพูด การ เขียน หรือการอภิปรายกับเพื่อนๆ
แพทยศาสตร์ศึกษา
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2559 : 2) กล่าวว่า Active
learning เป็นแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการสร้างความรู้
(Constructivism) ที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทมาก
และสำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์
การรวบรวมข้อมูลและสรุปความเห็น
โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมของตน
และเชื่อมโยงองค์ความรู้ใหม่จากการมีปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ร่วมกัน
เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning นั้นผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีสอนได้หลากหลายรูปแบบ เช่นCooperative/Collaborative
learning, Discovery learning, Experiential learning, Problem-Based learning,
Inquiry-Based learning, Project- Based learning (วิจารย์ พานิช, 2556; Settle, 2011) ซึ่ง Active learning จะให้ความสำคัญต่อลักษณะของกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ (Process
of Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้รียนได้ลงมือกระทำกิจกรรม
มีทักษะทั้งในเชิงความคิด และเทคนิควิธีที่จะใช้ปฏิบัติงานและแก้ปัญหาในชีวิตจริง
ผู้เรียนสามารถพูดคุยและเขียนสื่อสารในสิ่งที่เรียน วิจารณ์โต้แย้งระหว่างเพื่อน
และอาจารย์ผู้สอนได้ ผู้เรียนยังสามารถจัดระบบการคิด
และสร้างวินัยต่อกระบวนการแก้ปัญหารับผิดชอบต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยหลายอย่าง
เช่น การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และการเรียนรู้เชิงรุก(active
learning) โดยการสร้างความรู้ด้วยตนเองนั้นมีทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตัวเอง
(Constructivism) ได้แก่
วีก็อทสกี้ (Vygotsky)
เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาในสมัยเดียวกับเพียเจต์
(Piaget) ผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับกันในประเทศรัสเซีย
และเริ่มเผยแพร่สู่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆในยุโรป
เมื่อได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1962 โคซูลิน (Kozulin) ได้แปลและปรับปรุงหนังสือของวีก็อทสกี้อีกครั้งหนึ่ง
เป็นผลทำให้ผู้นิยมนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนอย่างแพร่หลาย (สุรางค์
โค้วตระกูล, 2541: 61)
ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์และวีก็อทสกี้เป็นรากฐานที่สำคัญของทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตัวเอง
(Constructivism)
เพียเจต์อธิบายว่า
พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของบุคคลมีการปรับตัวผ่านทางกระบวนซึบซาบหรือดูดซึม (assimilation)
และกระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา (accommodation) พัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับและซึมซาบข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่เข้าไปสัมพันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิม
หากไม่สามารถสัมพันธ์กันได้ จะไม่เกิดภาวะสมดุลขึ้น (disequilibrium) บุคคลจะพยายามปรับให้อยู่ในสภาวะสมดุล (equilibrium)โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา
(accommodation) เพียเจต์เชื่อว่า (Piaget, 1972: 1-12)คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาไปตามลำดับขั้น
จากการมีปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
แประสบการณ์ที่เกี่ยวกับความคิดเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (logico-mathematival
experience) รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (social
transmission) วุฒิภาวะ (maturity) และการะบวนการพัฒนาความสมดุล
(equilibrium) ของบุคคลนั้น เขาอธิบายว่า
มนุษย์ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด
ซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแล้วก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมซึ่งก็คือวัฒนธรรมที่แต่ละสังคมสร้างขึ้น
ดังนั้นสถาบันสังคมต่างๆเริ่มตั้งแต่สถาบันครัวครอบจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของแต่ละบุคคลนอกจากนั้น
ภาษายังเป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดและการพัฒนาเชาว์ปัญญาขั้นสูงพัฒนาการทางภาษาและทางความคิดของเด็กเริ่มต้นด้วยการพัฒนาที่แยกจากกัน
แต่เมื่ออายุมากขึ้น พัฒนาการทั้ง 2 ด้านจะเป็นไปร่วมกัน
เพียเจต์ และวีก็อทสกี้
นับว่าเป็นนักทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มพุทธินิยม (Constructivism)
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับ “cognition” หรือกระบวนการรู้คิด หรือกระบวนการทางปัญญา นักคิดคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ
อุลริค ไนส์เซอร์ (Ulrich Neisser) ได้ให้คำนิยามของคำนี้ไว้ว่า
“เป็นกระบวนการรู้คิดของสมองในการปรับ เปลี่ยน ลด ตัด ทอน ขยาย จัดเก็บ
และใช้ข้อมูลต่างๆที่รับเข้ามาทางประสาทสัมผัส
ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดจากการกระตุ้นของสิ่งเร้าภายนอกก็ได้ ดังนั้น การรู้สึก
การรับรู้ การจินตนาการ การระลึกได้ การจำ การคงอยู่ การแก้ปัญหา การคิดและอื่นๆ
อีกมากมายจึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรู้คิดนี้” (Neisser อ้างถึงใน สุรางค์ โค้วตระกูล, 2541: 208-209)
เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของทฤษฎีการสร้างความรู้ได้ง่ายขึ้น
จะขอเปรียบเทียบกับแนวคิดของทฤษฎีกลุ่มปรนัยนิยม (Objectivism) ซึ่งมีความเห็นว่า โลกนี้มีความรู้ ความจริง
ซึ่งเป็นแก่นแท้แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง การศึกษาคือการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ความจริงเหล่านี้ ดังนั้นครูจึงต้องพยายามถ่ายทอดความรู้ และความจริงนี้ให้ผู้เรียน
และผู้เรียนจะสามารถรับสิ่งที่ครูถ่ายทอดได้อย่างเข้าใจตามที่ครูต้องการ
แต่นักทฤษฎีกลุ่มสร้างความรู้ มีความเห็นว่า (Duffy and Jonassen, 1992: 3-4) แม้โลกนี้จะมีอยู่จริง และสิ่งต่างๆมีอยู่ในโลกจริง
แต่ความหมายของสิ่งเหล่านั้น มิได้มีอยู่ในตัวของมัน
สิ่งต่างๆมีความหมายขึ้นมาจากการคิดของคนที่รับรู้สิ่งนั้น
และแต่ละคนจะให้ความหมายแก่สิ่งเดียวกัน แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย
ดังนั้นสิ่งต่างๆในโลกจึงไม่มีความหมายที่ถูกต้องหรือเป็นจริงที่สุด
แต่ขึ้นกับการให้ความหมายของคนในโลก คนแต่ละคนเกิดความคิดจากประสบการณ์
ดังนั้นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในประสบการณ์นั้น ก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความคิดนั้น
หรือเป็นความหมายส่วนหนึ่งของความคิดนั้น หรือเป็นความหมายส่วนหนึ่งของความคิดนั้น
ด้วยเหตุนี้วีก็อทสกี้ (Vygotsky, 1978: 84-91)
จึงเน้นความสำคัญของความแตกต่างระหว่างบุคคล และการที่เด็กมีศักยภาพจะไปถึงได้
วีก็อทสกี้ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “zone of proximal development” ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดการเรียนการสอน
วีก็อทสกี้อธิบายว่า
ปกติเมื่อมีการวัดพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเด็ก เรามักจะใช้แบบทดสอบมาตรฐานในการวัด
เพื่อดูว่าเด็กอยู่ในระดับใด
โดยดูว่าสิ่งที่เด็กทำได้นั้นเป็นสิ่งที่เด็กในระดับอายุใดโดยทั่วไปสามารถทำได้
ดังนั้นการวัดผล จึงเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่เด็กทำได้อยู่แล้วคือ
เป็นระดับพัฒนาการที่เด็กบรรลุหรือไปถึงแล้ว ดังนั้นข้อปฏิบัติที่ทำกันอยู่ก็คือ
กาสอนให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาการของเด็ก
จึงเท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เด็กอยู่ในระดับพัฒนาการเดิม ม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาขึ้น
วีก็อทสกี้อธิบายว่า เด็กทุกคนมีระดับพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาที่ตนเป็นอยู่
และมีระดับพัฒนาการที่ตนมีศักยภาพจะไปให้ถึงช่วงห่างระดับที่เด็กเป็นอยู่ในปัจจุบันกับระดับที่เด็กจะมีศักยภาพจะเจริญเติบโตได้นี้เองเรียกว่า
“zone
of proximal development” หรือ “zone of proximal growth” ซึ่งช่วงห่างนี้จะมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
แนวคิดนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับการสอน ซึ่งเคยมีลักษณะเป็นเส้นตรง
(linear) หรืออยู่ในแนวเดียวกันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอยู่ในลักษณะที่เหลื่อมกัน
โดยการสอนจะต้องนำหน้าระดับพัฒนาการเสมอ ดังคำกล่าวของวิก็อทสกี้ที่ว่า
“…the development
processes do not coincide with learning process. Rather the developmental
process lags behind the learning processes.”
(Vygotsky,
1978: 90)
ดังนั้น
เด็กที่มีระดับพัฒนาการทางสมองเท่ากับเด็กอายุ 8 ขวบ จะสามารถทำงานกับเด็กอายุ 8
ขวบ โดยทั่วไปทำได้
เมื่อให้งานของเด็กอายุ 9
ขวบเด็กคนหนึ่งทำไม่ได้แต่เมื่อได้รับการชี้แนะหรือสาธิตให้ดูเด็กจะทำได้
แสดงให้เห็นว่า
เด็กคนนี้มีวุฒิภาวะที่จะไปถึงระดับที่ตนเองมีศักยภาพจะพัฒนาไปให้ถึง
ต่อไปเด็กคนนี้ก็จะพัฒนาไปถึงขั้นทำสิ่งนั้นได้เองโดยไม่มีการชี้แนะหรือได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในขณะเดียวกัน อาจมีเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับพัฒนาการทางสมองเท่ากัน คือ 8
ขสบ เมื่อให้ทำงานของเด็ก 9 ขวบ เด็กทำไม่ได้แม้จะได้รับการชี้แนะ
หรือสาธิตให้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก็ไม่สามารถทำได้แสดงให้เห็นช่องว่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นอยู่กับที่ระดับที่ต้องการไปให้ถึง
ยังห่างหรือกว้างมาก เด็กยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอ หรือยังไม่พร้อมที่จะทำสิ่งนั้น
จำเป็นต้องรอให้เด็กมีวุฒิภาวะสูงขึ้น หรือลดลงตามระดับพัฒนาการให้ต่ำลง
จากแนวคิดดังกล่าว วีก็อทสกี้ (Vygotsky, 1978:
90-91) จึงมีความเชื่อว่า การให้ช่วยเหลือชี้แนะแก่เด็ก ซึ่งอยู่ในลักษณะของ “assisted
learning” หรือ “scaffolding” เป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะสามารถช่วยพัฒนาเด็กให้ไปถึงระดับที่อยู่ในศักยภาพของเด็กได้
นักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นให้ความสำคัญของบริบทที่แท้จริง (authentic
context) เพราะการสร้างความหมายใดๆมักเป็นการสร้างบนฐานของบริบทใดบริบทหนึ่ง
จะกระทำโดยขาดบริบทนั้นไม่ได้ ดังนั้น
การเรียนรู้จึงจำเป็นต้องดำเนินการอยู่ในบริบทใดบริบทหนึ่ง
และกิจกรรมและงานทั้งหลายที่ใช้ในการเรียนรู้ก็จำเป็นต้องเป็นสิ่งจริง (authentic
activities/tasks)
โจแนสเซน (Jonassen,
1992: 138-139) กล่าวย้ำว่า
ทฤษฎีการสร้างความรู้จะให้ความสำคัญกับกระบวนการและวิธีการของบุคคลในการสร้างความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์
รวมทั้งโครงสร้างทางปัญญาและความเชื่อถือที่ใช้ในการแปลความหมายเหตุการณ์และสิ่งต่างๆเขาเชื่อว่าคนทุกคนมีโลกของตัวเอง
ซึ่งเป็นโลกที่สร้างขึ้นด้วยความคิดของตน
และคงไม่มีใครกล่าวได้ว่าโลกไหนจะเป็นจริงไปกว่ากัน
เพราะโลกของใครก็คงเป็นจริงสำหรับคนนั้น ดังนั้น
โลกนี้จึงไม่มีความจริงเดียวที่ดีที่สุด
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มนี้ถือว่าสมองเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถใช้ในการแปลความหมายของปรากฎการณ์
เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ซึ่งอาจแปลความหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่เป็นส่วนตัว
(personal) และเป็นเรื่องเฉพาะตัว (individualistic) เพราะการแปลความหมายของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับการรับรู้ประสบการณ์
ความเชื่อ ความต้องการ ความสนใจ และภุมหลังของแต่ละบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกัน (Jonassen,
1992: 139) สรุปได้ว่าการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้เป็นกระบวนการใน
“acting on” ไม่ใช่ “acting in” กล่าวคือเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องจัดกระทำกับข้อมูล
ไม่ใช่เพียงรับข้อมูลเข้ามา (Fosnot, 1992: 171) และนอกจากกระบวนการเรียนรู้จะเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในสมอง
(internal mental interaction) แล้วยังเป็นกระบวนการทางสังคมอีกด้วย
การสร้างความรู้จึงเป็นกระบวนการทั้งทางด้านสติปัญญาและสังคมควบคู่กันไป
จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า แนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก
(Active
learning) หมายถึง
แนวการจัดการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียน สร้างองค์ความรู้ จัดระบบการเรียนรู้
ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เกิดกระบวนการคิดในระดับสูง การคิดวิเคราะห์
การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้อภิปรายความรู้
และมีปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ร่วมกัน โดยที่การเรียนรู้เชิงรุก (Active
learning) ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้
มากกว่าเนื้อหาของรายวิชา ทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ และเข้าใจในเชิงลึก
และทำให้นักเรียนเห็นประโยชน์จากสิ่งที่เรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น